วันอังคารที่ 18 กันยายน พ.ศ. 2555

ทำไมถึงให้ลูกเรียนดนตรี

ทำไมถึงให้ลูกเรียนดนตรี
(โดย…เสาวนีย์ สังฆโสภณ นักกายภาพบำบัดผู้ชำนาญการระดับ 7 คณะแพทยศาสตร์ ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล )

ผู้เขียนมีความกังวลใจมาก กับ “นายเกศ “ ลูกชายคนโตซึ่งเป็นโรคภูมิแพ้ (อากาศ) ต้องผ่าตัดใส่ท่อที่หูทั้งสองข้างเมื่อตอนเด็ก ๆ ตั้งแต่เล็กจนโตก็เพียรเข้าออกหาหมอกินยา จนโตอาการไม่ทุเลาจนลูกได้ 9 ขวบ
ผู้เขียนได้อ่านพบในวารสารดนตรีบำบัดของต่างประเทศว่า เครื่องดนตรีประเภทเป่า เช่น แซกโซโฟน นำมาใช้ประกอบการรักษาโรคทางเดินหายใจได้ คิดชั่งใจอยู่นาน จึงตัดสินใจรวบรวมเงินไปซื้อแซกโซโฟนมือสอง ราคาไม่เบา มาเพื่อให้ลูกหัดเป่าสู้กับโรคภูมิแพ้
จากนั้นลูกก็เริ่มเรียนเป่าแซกโซโฟน โดยมีคุณครูวรเชษฐ์
วรพุทธนันท์ เป็นผู้ฝึกสอน เริ่มโดยฝึกควบคุมการหายใจและการเป่าให้
ถูกหลัก ตามด้วยวิธีเล่นอีกมากมาย แม้ “นายเกศ” จะไม่มีพรสวรรค์และไม่ค่อยจะฝึกซ้อม แต่ก็ยังโชคดีเมื่อไรถึงเวลาเรียนแซกโซโฟน ก็จะเรียนได้สม่ำเสมอด้วยเทคนิคการสอนของครูนิว ที่ให้ความรักและห่วงใยต่อลูกศิษย์ตัวน้อย ให้นายเกศ หันมาสนใจการเป่าแซกโซโฟน และเล่นได้ดีขึ้นเรื่อย ๆ ปอดเริ่มขยายใหญ่ขึ้น ร่างกายมีแรง มีภูมิต้านทานขึ้นเรื่อย ๆ
เวลาผ่านไป 3 ปี จากเด็กที่ขี้อาย หงุดหงิด ตกใจง่ายกลายเป็นเด็กอารมณ์ดีขึ้น ร่าเริงแจ่มใส พูดมากขึ้น และมีสมาธิในการเรียนดีขึ้น ที่สำคัญคือกินยาน้อยลง เมื่อไปตรวจเช็คกับคุณหมอเรื่องภูมิแพ้อยู่ทุกระยะก็พบว่าอาการดีขึ้น จำได้ว่าผู้เขียนมีความสุขมากที่สุดวันหนึ่ง คือวันที่ “นายเกศ” เป่าแซกโซโฟน ส่งเข้าประกวดในโครงการเยาวชนดนตรี ชื่อเพลง “Over The Rainbow” ร่วมกับการบรรเลงเปียโนได้ไพเราะจับใจมาก เป็นการถ่ายทอดอารมณ์อันสุนทรีย์ ผ่านทางเสียงเพลง ที่สร้างความประทับใจให้คนเป็นพ่อแม่ได้ปลื้มใจไม่รู้จบ เสียงท่านอาจารย์สุกรี แว่วเข้ามาว่า “ลูกชายยืนอยู่บนขาตัวเองได้แล้ว” การได้ฝึกเป่าแซกโซโฟน มีส่วนทำให้ลูกชายของผู้เขียน มีความมั่นใจในตัวเองมากยิ่งขึ้น เพราะแซกโซโฟนเป็นเครื่องเป่าที่มีเสียงดัง มีอำนาจและวิธีการเป่าก็ทำให้ร่างกายแข็งแรง ทำให้มีภูมิคุ้มกันโรคมากขึ้น
จากเด็กที่เพื่อน ๆ มองว่าขี้อาย ไม่ค่อยพูด ใครเลยจะรู้ว่าแท้จริง “นายเกศ” เป็นคนคุยเก่งที่สุดคนหนึ่ง และยังมีอะไรดี ๆ ในตัวอีกมากมายที่ใครจะคุยด้วย คงต้องใช้ภาษาดนตรีเปิดสู่โลกกว้างใหญ่ไพศาลคุยกัน จึงจะรู้เรื่อง
เครื่องดนตรีแต่ละประเภท ต่างก็มีประโยชน์ต่อร่างกายและจิตใจของมนุษย์ ดังนี้
     หีบเพลงปาก (mouth organ) ใช้ปากเป่าโดยเอามือประคอง เป็นการฝึกบริหารปอด กล้ามเนื้อกระพุ้งแก้ม
     ไวโอลิน (violin) ใช้สีโดยเหน็บไว้บนบ่าและเอาคางกด มีเสียงกังวานอ่อนนุ่ม
     กลองชุด ใช้ตีมีเสียงอึกทึก ฝึกการทำงานสัมพันธ์กันระหว่างแขน และขา ทำให้เกิดความแข็งแกร่ง
     ขิม ใช้ตี การเล่นขิมจะทำให้เกิดสมาธิ เมื่อบรรเลงที่ไพเราะด้วยจังหวะที่ช้า จะทำให้เกิดความสงบผ่อนคลาย
     กีตาร์ ฝึกความแข็งแรงของนิ้ว ช่วยทำให้เกิดความสนุกสนานเพลิดเพลินผ่อนคลายความตึงเครียด มักจะเป็นที่นิยมมากเพราะพกพาไปได้สะดวก และเล่นง่าย อังกะลุง ใช้เขย่ามีเสียงดังอึกทึกช่วยทำให้ข้อมือและแขนมีความแข็งแรง เล่นเป็นกลุ่ม สร้างความสามัคคีในหมู่ผู้เล่น
    เปียโน ใช้นิ้วกดเล่นบนแป้นคีย์ ทำให้นิ้วมือมีกำลัง และฝึกความสัมพันธ์ระหว่างมือทั้งสองข้าง มีระดับเสียงจำนวนมาก ช่วยทำให้เกิดอารมณ์ได้หลากหลาย
     เครื่องเป่า เช่น แซกโซโฟน ช่วยทำให้ปอดมีความจุเพิ่มขึ้นและเกิดความแข็งแรง มีผลดีต่อระบบทางเดินหายใจ มีเสียงดังช่วยสร้างความมั่นใจได้ เป็นต้น

 ที่มา:http://janly.myreadyweb.com/article/category-30055.html

วันอังคารที่ 10 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

ยุคสมัยดนตรีไทย

ระนาดเอก
ประวัติดนตรีไทยดนตรีไทย ถือว่าเป็นมรดกทางวัฒนธรรมอันล้ำค่าของชนชาติไทยมาตั้งแต่โบราณ
ซึ่งดนตรีไทยได้มีการพัฒนามาเรื่อย ๆ ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ซึ่งจะขอแบ่งยุคของดนตรีไทย เพื่อให้สะดวกต่อการศึกษา ดังนี้
1. สมัยก่อนกรุงสุโขทัยเป็นราชธานี
2. สมัยกรุงสุโขทัยเป็นราชธานี
3. สมัยกรุงศรีอยุธยา
4. สมัยกรุงรัตน์โกสินทร์

สมัยก่อนกรุงสุโขทัยเป็นราชธานี
จากประวัติศาสตร์ชนชาติไทยเดิมที่ได้อพยพมาจากแถบภูเขาอัลไต
 และอพยพเรื่อยมาจนถึงแหลมทองในปัจจุบัน และได้ปรากฏหลักฐานเป็นจดหมายของอาจารย์ที่เซี่ยงไฮ้ ซึ่งอาจารย์มนตรี ตราโมท กล่าวว่า( สงบศึก ธรรมวิหาร. 2540 : 3 อ้างใน มนตรี ตราโมท. 2507 : ไม่ปรากฏหน้า) ดังนี้ “ จดหมายของอาจารย์ผู้หนึ่ง ในโรงเรียนที่เซียงไฮ้ ซึ่งมีมาถึงรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการของไทยเรา ลงในวันที่ 11 ตุลาคม 2484 กล่าวว่า เขาได้ทำการศึกษาค้นคว้าตำนานดึกดำบรรพ์ของชาติไทยในดินแดนจีน ได้หลักฐานไว้หลายอย่าง มีความในหนังสือฉบับนี้กล่าวว่า คนไทยมีอุปนิสัยทางศิลปะทางดนตรีมาแต่ดึกดำบรรพ์”
จากข้อความในจดหมายที่ยกมา แสดงให้เห็นว่า ดนตรีไทยมีมาควบคู่กับคนไทย มาตั้งแต่โบราณก่อนการอพยพลงมาสู่แหลมทองในปัจจุบัน และยังมีเอกสารหลักฐานเกี่ยวกับดนตรีไทย ซึ่ง อาจารย์มนตรี ตราโมท ได้กล่าวถึงความเจริญรุ่งเรืองและความเป็นมาเกี่ยวกับดนตรีไทย
และเพลงไทยอีกว่า (มนตรี ตราโมท. 2507 : ไม่ปรากฎหน้า) “ ในตอนกลางลุ่มแม่น้ำแยงซี เป็นที่ตั้งของอาณาจักรฌ้อ ซึ่งนักประวัติศาสตร์ โดยมากกล่าวรับรองว่า ฌ้อในสมัยนั้นคือชนชาติไทย พระเจ้าฌ้อปาออง ซึ่งครองราชอยู่ระหว่าง พ.ศ. 310 ถึง 343 ว่าเป็นกษัตริย์ไทย ในสมัยนั้นจีนได้เครื่องดนตรีไปจากชนชาติในดินแดนตอนใต้หลายอย่าง ที่ปรากฏชัดคือ กลองชนิดหนึ่งซึ่งจีนใช้อยู่จนทุกวันนี้เรียกว่า “ น่านตังกู ” อันหมายถึง กลองชาวใต้ ลักษณะเป็นกลองขึงหนังตรึงด้วยหมุดทั้งสองหน้าอย่าง “ กลองทัด ” ของไทยเราไม่ผิดเพี้ยนเลย และรูปร่างก็แตกต่างจากกลองชนิดอื่นๆ ของจีน ซึ่งเข้าใจว่าอาจได้ไปจากกลองของชนชาติไทย ในสมัยครั้งกระโน้นก็เป็นได้” หลักฐานสำคัญอีกอย่างหนึ่งที่บ่งบอกถึง “เครื่องดนตรีไทย” และเครื่องดนตรีที่เก่าแก่ ของไทยก็คือ “แคน” โดยมีหลักฐานยืนยัน ซึ่งมีบันทึกของจีนได้บันทึกไว้ว่า ( สงบศึก ธรรมวิหาร. 2540 : 5)“ ที่เมือง CHANGSHA แคว้นยูนาน เป็นบ้านเกิดของประธานาธิบดีเหมาเจ๋อตุง เขาได้พบศพ 2 ศพ ที่เกรียวกราวมาก คือ เป็นศพที่มีอายุตั้ง 2,000 ปี แล้วร่างกายอยู่อย่างเก่าเอาอะไรกดเข้าไปก็ไม่เป็นอะไร แล้วเครื่องแต่งกายก็วิจิตรพิศดารมาก รัฐบาลของเขาให้ชื่อศพ
นี้ว่า “ The Duke of Tai and his Consart “ ในข้าง ๆ ศพ ปรากฏสิ่งของอยู่ 2 อย่างคือ เครื่องใช้ประจำวันเป็นเครื่องเขิน เครื่องเขินที่คล้าย ๆ กับเชียงใหม่เรานี้ แล้วก็เป็นจำนวนนับร้อย แล้วอีกสิ่งหนึ่งก็เป็นเครื่องดนตรีชนิดหนึ่งที่ตรงกับของเราที่เรียกว่า แคน ในเรื่องที่เกี่ยวกับแคนนี้ สุมาลี นิมมานุภาพ ยังเล่าเพิ่มเติมพอสรุปได้ว่า จากบันทึกของจีนที่บันทึกว่าจีนมีแคนใช้ประมาณ 3,000 ปี แต่จีนมีแคนใช้หลังไทย เพราะฉะนั้นแคนไทยต้องมีอายุมากกว่า 3,000 ปี ที่กล่าวว่าจีนมีแคนใช้หลังไทยเพราะถ้าใช้หลังการเปรียบเทียบจะเห็นว่าแคนของจีนสวยงามประณีต กระทัดรัดกว่าของไทย เพราะจีนได้แบบอย่างและรูปแบบไปจากแคนไทย ซึ่งมีรูปร่างยาว ใช้วัสดุที่ไม่ทนทานเท่าแคนของจีน ซึ่งเมื่อจีนเห็นข้อบกพร่องของแคนไทยแล้วจึงนำไปปรับปรุงให้กระทัดรัดและสวยงามจากแคนของไทย ได้พัฒนาเป็นเครื่องดนตรีอื่นๆ อีกหลายชนิด เช่น ขลุ่ย และปี่ซอ เพราะขลุ่ยทำง่ายกว่าแคน เพียงแต่เจาะรูที่ไม้ไผ่ก็เป่าได้แล้ว อย่างเช่น ขลุ่ยผิวของจีน ส่วนปี่ซอก็คือลูกของแคนนั้นเองใช้ลิ้นโลหะประกอบกับไม้ไผ่เข้าแล้วเจาะรูเพื่อบังคับเสียง อย่างเช่น
ปี่ซอของทางภาคเหนือในปัจจุบัน ซึ่งต่อมาจึงใช้ไม้ทำเครื่องบังคับลมเรียกว่า “ดาก” เข้าไปในตัวของไม้ไผ่แล้วเจาะลิ้น (ปากนกแก้ว) ทำให้เกิดเสียง เช่น ขลุ่ยชนิดต่างๆ ที่เราใช้กันอยู่ในปัจจุบันนี้ (สงบศึก ธรรมวิหาร. 2540 : 6 อ้างใน จารุวรรณ ไวยเจตน์. 2529 : 213)
สรุปได้ว่า ดนตรีไทย มีประวัติความเป็นมาควบคู่กับชนชาติไทย ก่อนที่จะอพยพมาสู่ถิ่นแหลมทองในปัจจุบัน เครื่องดนตรีชิ้นแรกที่ค้นพบคือ กลองและแคน ต่อมาได้พัฒนาจากแคนเป็นปี่ซอและขลุ่ย ซึ่งเป็นเครื่องดนตรีประเภทเป่า เพราะทำได้ง่าย เพียงแต่เจาะรูแล้วทำเครื่องบังคับลมก็สามารถเป่าเป็นเสียงดนตรีได้แล้ว
สมัยกรุงสุโขทัยเป็นราชธานีการดนตรีในสมัยกรุงสุโขทัยเป็นราชธานีนับเป็นสมัยเริ่มต้นประวัติศาสตร์ของประเทศไทย เพราะว่า เรื่องราวชนชาติไทยปรากฏหลักฐานเด่นชัดขึ้นในสมัยสุโขทัย เมื่อพ่อขุนรามคำแหงได้ประดิษฐ์อักษรไทยและจารึกเรื่องราวต่างๆ ลงในศิลา และจากศิลาจารึกสมัยสุโขทัยนี้ ทำให้ทราบประวัติศาสตร์สุโขทัยอย่างดี ( เฉลิม พงศ์อาจารย์. 2529 : 90)
เพราะในหลักศิลาจารึกของพ่อขุนรามคำแหงที่จารึกเป็นคำสั้นๆ ว่า “ เสียงพาทย์ เสียงพิณ เสียงเลื้อน เสียงขับ ( สงบศึก ธรรมวิหาร. 2540: 9 อ้างใน ณรงค์ชัย ปิฎกรัชน์. 2528 : 17) ทำให้เราทราบถึงดนตรีไทยในสมัยสุโขทัยได้เป็นอย่างดีมีความกว้างขวางมากมาย เสียงพาทย์ หมายถึง การบรรเลงวงปี่พาทย์ เสียงพิณ หมายถึง วงเครื่องสาย เป็นต้น
ทวีสิทธิ์ ไทยวิจิตร ได้กล่าวถึงเครื่องดนตรีไทยในสมัยสุโขทัย โดยสันนิษฐานว่า เครื่องดนตรีไทย มีกลองสองหน้า แตรงอน (คล้ายเขาสัตว์ทำด้วยโลหะ ) แตรสังข์ (ทำจากหอยสังข์) ตะโพน ฆ้อง กลองทัด ฉิ่ง บัณเฑาะ กรับ กังสดาล มโหระทึก ซอสามสาย ระนาด ปี่ไฉน (สงบศึก ธรรมวิหาร. 2540 : 9)สรุปได้ว่า เครื่องดนตรีไทยในสมัยสุโขทัยเป็นราชธานีนั้น เครื่องดนตรีมีครบทั้ง 4 ประเภท อย่างเช่นสมัยปัจจุบัน คือ
เครื่องดีด ได้แก่ พิณ เป็นต้น เครื่องเป่า ได้แก่ ปี่ ขลุ่ย เป็นต้น
เครื่องตี ได้แก่ ระนาด ฆ้อง กลอง เป็นต้นเครื่องสี ได้แก่ ซอ เป็นต้น

สมัยกรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานีการดนตรีไทยในสมัยกรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานีนับได้ว่า มีความเจริญรุ่งเรืองเป็นอย่างมาก เพราะประชาชนนิยมเล่นดนตรีกันมาก ซึ่งเครื่องดนตรีในสมัยกรุงศรีอยุธยา ส่วนใหญ่ได้รับมาจากกรุงสุโขทัย แต่ก็ได้มีการปรับปรุงรูปร่าง ตลอดจนการประสมวงดนตรี และได้มีการพัฒนา
คิดค้นเรื่องดนตรีเพิ่มเติม เช่น จะเข้ เป็นต้น
ด้วยความเจริญรุ่งเรืองในการดนตรีไทย มีประชาชนนิยมเล่นดนตรีไทยกันอย่างกว้างขวางจะเล่นดนตรีกันจนเกินขอบเขต จนต้องออกกฏมณเฑียรบาล ในรัชสมัยของพระบรมไตรโลกนารถ ( พ.ศ.1991 - 2031 ) ว่า “…ห้ามขับร้องเพลงเรือ เป่าขลุ่ย เป่าปี่ สีซอ ดีดกระจับปี่ตีโทนทับ ในเขตพระราชฐาน” ในสมัยกรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานี ปรากฏเครื่องดนตรีครบทุกประเภท ดังนี้
เครื่องดีด ได้แก่ กระจับปี่ จะเข้ พิณเพี้ยะ พิณน้ำเต้า
เครื่องสี ได้แก่ ซอสามสาย ซออู้ ซอด้วง
เครื่องตีไม้ ได้แก่ กรับพวง กรับคู่ กรับเสภา ระนาดเอก
เครื่องตีโลหะ ได้แก่ ฆ้องวงใหญ่ ฆ้องคู่ ฆ้องชัย ฆ้องโหม่ง ฉิ่งฉาบ มโหระทึก
เครื่องตีหนัง ได้แก่ ตะโพน (ทับ) โทน รำมะนา กลองทัด กลองตุ๊ก
เครื่องเป่า ได้แก่ ปี่ใน ปี่กลาง (คงมีพวกปี่มอญและปี่ชวาด้วย) ขลุ่ย
แตรงอน สรุปได้ว่า การดนตรีไทยในสมัยกรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานี ได้พัฒนาอย่างต่อเนื่องจากสมัยสุโขทัยเป็นราชธานี และ มีการคิดค้นเครื่องดนตรีเพิ่มเติม ประชาชนนิยมเล่นดนตรีไทย กันอย่างกว้างขวาง แม้แต่ในเขตพระราชฐาน จนต้องมีการออกกฎมณเฑียรบาลเกี่ยวกับการห้ามเล่นดนตรีไทยในเขตพระราชฐาน

สมัยกรุงรัตนโกสินทร์
ในสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก รัชกาลที่ 1 พระองค์ได้ทรงฟื้นฟูการดนตรีไทยให้เจริญรุ่งเรือง โดยทรงพระราชนิพนธ์เรื่องรามเกียรติ์ให้สมบูรณ์ และดาหลัง ซึ่งเป็นวรรณคดีที่มีมาแต่สมัยอยุธยา วรรณคดีทั้ง 2 เรื่องนี้ ใช้นำแสดงละคร และแสดงโขน
(เฉลิม พงษ์อาจารย์. 2529 : 293) ต่อมาในรัชกาลที่ 2 พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย ดนตรีไทยได้เจริญรุ่งเรืองขึ้นด้วย พระองค์ทรงส่งเสริมด้านวรรณคดีและการละคร ทรงพระราชนิพนธ์ เรื่องอิเหนา และรามเกียรติ์ ขึ้นอีกสำนวนหนึ่ง เพื่อให้เหมาะสมแก่การละคร ให้มากยิ่งขึ้น จนวรรณคดีเรื่องอิเหนาได้รับการยกย่องว่า เป็นกลอนบทละครที่ดีที่สุด
ส่วนด้านดนตรีก็เฟื่องฟูเช่นเดียวกัน จนปรากฏในพระราชประวัติพระพุทธเลิศหล้านภาลัยว่าทรงซอสามสายได้เป็นเลิศ มีซอคู่พระหัตถ์เรียกว่า “ซอสายฟ้าฟาด” (ธำรงศักดิ์ อายุวัฒนะ. 2515 : 90)
ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว แม้ว่าพระองค์จะไม่ทรงโปรดดนตรีมากนัก แต่ก็มิได้ห้ามไม่ให้เล่นดนตรีไทย ยังคงทำให้เจ้านายในวังได้มีการแสดงการดนตรี และการละครภายในวังของตน จึงทำให้เจ้านายเหล่านี้มีส่วนในการอุปถัมภ์ ส่งเสริมในการละคร และการดนตรีเจริญรุ่งเรืองสืบมาอย่างต่อเนื่อง จนถึงสมัยเปลี่ยนแปลงการปกครองในปี 2475
และในรัชสมัยนี้ ได้มีการประดิษฐ์ระนาดทุ้มขึ้นเพื่อใช้คู่กับระนาดเอก
ในรัชกาลที่ 4 พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ประชาชนนิยมเล่นแอ่วลาวเป่าแคนกันมาก จนเป็นเหตุให้การดนตรีไทยมีผู้เล่นน้อยลง พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว จึงโปรดเกล้าฯ ให้ทรงพระราชบัญญัติห้ามเล่นแอ่วลาว เมื่อปี 2408 ด้วย เพราะทรงรังเกียจว่า
ไม่ใช้ของไทยแท้เป็นของประเทศราช จะนำมาใช้เป็นของไทยนั้นหากใครเล่นจะเก็บภาษีให้แรง ประชาชนจึงคลายการเล่นแอ่วลาวลง พระราชบัญญัติข้อนี้ แม้จะมีลักษณะเป็นชาตินิยมมากก็จริง แต่ถ้ามองในแง่ของการสงวนไว้ ซึ่งศิลปวัฒนธรรมไทยแท้แล้ว ก็นับได้ว่าพระเจ้าอยู่หัวทรงห่วงใยในสมบัติของชาติ และทรงพยายามที่จะส่งเสริมดนตรีไทยอย่างแท้จริง ( พูนพิศ อมาตยกุล. 2524 : 23)
การดนตรี ในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้ขยายแยกออกไปอีกมากมาย อาทิ เกิดการแสดงละครขึ้นอีกหลากหลายรูปแบบ การบรรเลงแตรวง ได้มีการปรับปรุงให้กว้างขวางมากยิ่งขึ้น
ในสมัยนี้ ได้มีการพัฒนาเครื่องดนตรีไทยเพิ่มเติม ได้แก่ กลองตะโพน (ความจริงคือกลองตะโพนเดิมนั่นเอง) แต่วิธีการตีกลองผิดไปจากเดิมคือ ใช้ตีแบบกลองทัด(ตีหน้าเดียว)
โดยใช้ ไม้นวม ตีเพื่อให้เกิดเสียงทุ้มกังวาน และ ยังเกิดวงปี่พาทย์ไม้นวมเรียกว่า “ปี่พาทย์ดึกดำบรรพ์” ใช้กับละครแบบใหม่ ซึ่งดัดแปลงมาจากโอเปร่า ปี่พาทย์ดึกดำบรรพ์นี้ฟังไพเราะมาก(ชิ้น ศิลปบรรเลง;2515:21)
ในสมัยรัชกาลที่ 5 การดนตรีไทยได้พัฒนารูปแบบเพิ่มขึ้นอีกมากมาย ที่สำคัญคือ การประชันฝีมือดนตรีทำให้เกิดการพัฒนาฝีมือของนักดนตรี และเกิดการผสมวงขึ้น โดยการนำเครื่องดนตรีต่างๆ มารวมเพิ่มขึ้นในวงให้มากและเป็นการรวมนักดนตรีที่มีฝีมือเข้าด้วยกัน
จึงทำให้เพียบพร้อมไปด้วยนักดนตรีฝีมือและมีเครื่องดนตรีหลากหลายประเภท ทำให้การบรรเลงมีเสียงที่ไพเราะยิ่ง
ในสมัยรัชกาลที่ 6 การดนตรีได้รับอิทธิพลจากตะวันตกมากมาย เพราะมีการค้าขายติดต่อกับชาวต่างชาติมาก ซึ่ง อาจารย์มนตรี ตราโมท ได้กล่าวว่า“เป็นรัชสมัยที่มีชาวต่างชาติเข้ามาค้าขายรับราชการ และปฏิบัติธุรกิจมากมาย เจ้านายและขุนนาง ข้าราชการ ศึกษามาจากยุโรปเป็นอันมาก ศิลปะการแสดงต่างๆ จึงได้รับอิทธิพลจากชาติตะวันตก แปรเปลี่ยน และเกิดขึ้นหลายอย่าง ละครก็มีละครพูด ละครสังคีต ละครร้อง
การดนตรีมีวงโยธวาธิต แตรวง เพิ่มขึ้น จนถึงวงของเอกชน ในราชการมีวงเครื่องสายฝรั่ง ของกรมมหรสพ และของกรมทหารม้าล้วนเป็นวงปี่ที่มีคุณภาพการบรรเลงเป็นอย่างดี ทางวงดนตรีไทยก็เจริญทั้งปริมาณและคุณภาพ ทั้งวงปี่พาทย์ วงเครื่องสายและมโหรี”(มนตรี ตราโมท. 2527 : 36)ในสมัยรัชกาลที่ 6 มีนักดนตรีที่มีชื่อเสียงเกิดขึ้นหลายท่าน ซึ่งนักดนตรีที่มีชื่อเสียงในสมัยนี้ พระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 ได้ทรงตั้งราชทินนามของนักดนตรี ไว้เป็นคำกลอนสัมผัส
ดังนี้  พระเพลงไพเราะ หลวงเพราะสำเนียงหลวงเสียงเสนาะกรรณ
พระสรรพ์เพลงสรวงหลวงพวงสำเนียงร้อย หลวงสร้อยสำเนียงสนธิ์
หลวงวิมลวังเวง หลวงบรรเลงเลิศเลอ ขุนบำเรอจิตรจรง
หลวงบำรุงจิตรเจริญ  ขุนเจริญดนตรีการ พระยาประสานดุริยศัพท์
หลวงศรีวาฑิต หลวงสิทธิวาทิน พระพิณบรรเลงราช
พระพาทย์บรรเลงรมย์ หลวงประสมสังคีต พระประณีตวรศัพท์
พระประดับดุริยกิจ ขุนสนิทบรรเลงการ หมื่นประโคมเพลงประสาน
หลวงชาญเชิงระนาด  ขุนฉลาดฆ้องวง   ขุนบรรจงทุ้มเลิศ
หมื่นประเจิดปี่เสนาะ หลวงไพเราะเสียงซอ  ขุนคลอขลุ่ยคล่อง
(ไม่มีตัวจริง) หลวงว่องจะเข้รับ  หมื่นคนธรรพ์ประสิทธิประสาร
 หมื่นขับคำหวาน  หมื่นตันติการ เจนจิตร หลวงประดิษฐ์ไพเราะ
พระยาเสนาะดุริยางค์ พระสำอางค์ดนตรี
ขุนสำเนียงชั้นเชิง (จารุวรรณ ไวยเจตน์;2529:235-236)
จะเห็นได้ว่า ในรัชสมัยพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 6 มีนักดนตรีที่พระองค์ ได้ทรงโปรดพระราชทานราชทินนาม บรรดาศักดิ์ และชื่อเสียงเกียรตินิยมแก่นักดนตรีหลายท่านอย่างเอาใจใส่ นับเป็นช่วงเวลาแห่งความเจริญรุ่งเรืองในด้านดนตรีไทยเป็นอย่างยิ่งและพระองค์
มีพระปรีชาสามารถในด้านการดนตรีเช่นกัน จึงเป็นระยะเวลาที่นักดนตรีของพระองค์มีความผาสุกอย่างยิ่ง ด้วยพระองค์ทรงเอาใจใส่เป็นอย่างดี
การดนตรีไทย ในสมัยรัชกาลที่ 7 นับเป็นช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อเพราะมีการเปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราช มาเป็นการปกครองในระบอบประชาธิปไตยในช่วงปลายสมัยของพระองค์และสิ่งสำคัญที่เกิดขึ้นในสมัยนี้ คือ เศรษฐกิจตกต่ำทั่วโลก  และประเทศไทยก็ได้รับอิทธิพลนี้เช่นกัน แต่ถึงอย่างไรก็ตามกำลังใจของนักดนตรีก็มีอยู่มาก เพราะพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงศึกษาด้านดนตรีไทย จนมีความสามารถในด้านการเล่นดนตรีไทยและพระราชนิพนธ์เพลงไทยไว้ถึง 3 เพลง คือ ราตรีประดับดาว เขมรละออองค์เถาและโหมโรงคลื่นกระทบฝั่งสามชั้น (สงบศึก ธรรมวิหาร. 2540 : 37)
ในสมัยนี้มีนักดนตรีเกิดขึ้นมากมาย ซึ่งบุคคลที่สมควรได้รับการยกย่องอย่างสูงสุด คือ หลวงประดิษฐ์ไพเราะ (ศร ศิลปบรรเลง) ชาวสมุทรสงคราม ท่านได้แต่งเพลงไทยไว้มากมาย มีทั้งแต่งขึ้นใหม่ และทำแนวบรรเลงเปลี่ยนแปลงจากของเก่า (ที่เรียกว่าทางเปลี่ยน) เพลงที่
หลวงประดิษฐ์ไพเราะ แต่งขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 7 เช่นกระต่ายชมเดือนเถา เขมรปากท่อเถา ขอมทอง ครวญหา จีนนำเสด็จ จีนลั่นถัน ชมแสงจันทร์ เขมรเลียบนคร พราหมณ์ดีดน้ำเต้า นกเขาขะแมร์ สาริกาเขมร
อะแซหวุ่นกี้ ขะแมร์กอฮอม ขะแมร์ซอ ขะแมร์ธม และโอ้ลาว เป็นต้น
นักดนตรีไทยอีกท่านหนึ่ง ที่แต่งเพลงไว้ในสมัยรัชกาลที่ 7 เป็นจำนวนไม่น้อย คือ นายมนตรี ตราโมท ชาวจังหวัดสุพรรณบุรี ท่านมีความเชี่ยวชาญทั้งในการประพันธ์ บทเพลง บทร้อง และยังมีความสามารถในการแต่งเพลงประกอบการแสดง ระบำต่างๆ มีผลงานมากมายสุดจะพรรณนาได้ เพลงที่แต่งในสมัยรัชกาลที่ 7 ที่ขึ้นชื่อมากมีหลายเพลง เช่น
โสมส่องแสง เขมรปี่แก้วทางสักวา จะเข้หางยาวทางสักวา นางครวญเถา นกขมิ้นเถา พม่าเห่เถา และพระจันทร์ครึ่งซีกเถา เป็นต้น(พูนพิศ อมาตยกุล; 2524: 20)การดนตรีไทยในรัชสมัยพระบาทสมเด็จปรเมนทรมหาอนันทมหิดล รัชกาลที่ 8 เป็นสมัยหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์มาเป็นการปกครองในระบอบประชาธิปไตย สมัยนี้ “เป็นระยะที่ดนตรีไทยเข้าสู่สภาวะมืดมน เพราะรัฐบาลไม่ส่งเสริมดนตรีไทย และยังพยายามให้คนไทยหันไปเล่นดนตรีสากลแบบตะวันตก”
(สงบศึก ธรรมวิหาร. 2540: 40 อ้างใน พูนพิศ อมาตยกุล. 2524 : 21) ต่อมาก็เกิดรัฐนิยมขึ้น “ การที่มีรัฐนิยมเกิดขึ้น กล่าวคือ ห้ามการบรรเลงดนตรีไทย” (สงบศึก ธรรมวิหาร. 2540 : 40
อ้างใน พระยาภูมี เสวิน. 2516 : 137) ด้วยเห็นว่าดนตรีไทยไม่เหมาะสมกับชาติที่กำลังพัฒนาให้ทัดเทียมกับอารยประเทศ จึงมีการห้ามโดยเคร่งครัด แต่ยังอนุญาตให้บรรเลงในงานพิธีหรือในบางประเพณี แต่จะต้องไปขออนุญาตที่กรมศิลปากรหรืออำเภอก่อนและต้องมีบัตรนักดนตรี
ที่ทางราชการออกให้ จึงทำให้นักดนตรีหัวใจห่อใจเหี่ยวไปตาม ๆ กัน บางคนถึงกับขายเครื่องดนตรีอันวิจิตรงดงาม เพราะถึงเก็บไว้ก็เปล่าประโยชน์ เครื่องดนตรีอันงดงามวิจิตร หลายชิ้นที่ถูกขายไปในรูปแบบของเก่า หรือขายต่อให้ต่างประเทศไปอย่างน่าเสียดาย
แต่ก็ยังมีนักดนตรีอีกไม่น้อยที่ไม่ยอมทิ้งดนตรีไทย เช่น หลวงประดิษฐ์ ไพเราะ (ศร ศิลปบรรเลง) ยังคงแต่งเพลงต่อไปอย่างไม่ย่อท้อ เพลงเอกของท่านที่เกิดขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 8 เช่น แสนคำนึงเถา กราวรำเถา แขกเงาะ และแขกชุมพล เป็นต้น และอาจารย์มนตรี ตราโมท ก็หันมาประดิษฐ์เพลงระบำมากขึ้น ซึ่งเพลงไทยในระยะนี้ อรวรรณ บรรจงศิลป์ (อ้างใน สงบศึก ธรรมวิหาร. 2540 : 41) กล่าวว่า
“ระยะนี้มีผู้นำทำนองเพลงไทยมาใส่เนื้อร้องเต็มตามทำนองบ้าง แต่งขึ้นเองบ้าง เพื่อประกอบละครพูด ละครประวัติศาสตร์ และภาพยนตร์ ผู้แต่งมีหลายท่าน เช่น พรานบูรณ์ หลวงวิจิตรวาทการ ล้วน ควันธรรม ฯลฯ สำหรับหลวงวิจิตรวาทการร่วมกับอาจารย์มนตรี ตราโมทแต่งเพลงประกอบบทละครประวัติศาสตร์หลายเพลง เช่น เพลงเพื่อนไทย ใต้ร่มธงไทย ในน้ำมีปลา ในนามีข้าว ฯลฯ เพลงเหล่านี้ มีลักษณะเป็นแบบตามใจผู้แต่ง จะเป็นเพลงไทยก็ไม่ใช่ เพลงฝรั่งก็ไม่ใช่ การแต่งเพลงของหลวงวิจิตรวาทการแต่งโดยใช้จินตนาการของตนเองบ้าง บางเพลงก็นำทำนองของฝรั่งมาใส่เนื้อไทยบ้าง เช่น ภาพเธอ นักแต่งเพลงอื่น เช่น พรานบูรณ์ มีจุดมุ่งหมายของการแต่งเพลงเพื่อนำไปประกอบภาพยนต์ ละคร เพลงที่แต่งจึงพยายามให้เหมาะกับเนื้อเรื่อง เป็นสำคัญ เช่น เพลงดูซิดูโน่นซิ เพลงร้อนแดด ฯลฯ อาจกล่าวได้ว่า เพลงในระยะนี้เป็นเพลง ที่ยังไม่เป็นไปตามกฎเกณฑ์ทฤษฎีตะวันตกอย่างแท้จริงถึงอย่างไรก็ตาม ดนตรีไทยสมัยนี้ก็มิได้ซบเซาถึงขนาดจะขาดตอน เหมือนเมื่อครั้งเราเสียกรุงศรีอยุธยา แม้จะซบเซาลงบ้างและเกิดเพลงไทยสากลขึ้น เพลงไทยสากลที่เกิดขึ้นใหม่นี้ ก็ยังเอาเค้าของเดิมหรือเอาเพลงไทยของเดิมมาร้องเล่น เพียงแต่เปลี่ยนจังหวะให้กระชับขึ้นเป็นแบบฝรั่ง ของไทยแท้จึงไม่ถึงกับสูญและโชคดีที่ยุดนี้สั้นมาก มีการเปลี่ยนแปลงรัฐบาลกันบ่อยในที่สุด ดนตรีไทยแท้ก็กลับคืนมาอีกครั้ง (อรวรรณ บรรจงศิลป์ และ
โกวิทย์ ขันธศิริ. 2526 : 18) การดนตรีไทยในรัชสมัยรัชกาลปัจจุบัน เมื่อปลายรัชกาลที่ 8 พ.ศ. 2488 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ซึ่งขณะนั้น ทรงดำรงพระอิสริยยศเป็นพระอนุชา ได้ทรงเริ่มพระราชนิพนธ์เพลงไทยสากลและเพลงสากลขึ้นเพลงแรก คือ เพลงพระราชนิพนธ์ แสงเทียน และต่อมาก็ทรงพระราชนิพนธ์เพลงสายฝน และอีกมากมาย เช่น เพลงชะตาชีวิต เพลงใกล้รุ่ง เพลงคำหวาน เพลงดวงใจกับความรัก เพลงพระราชนิพนธ์เหล่านี้ผิดแผกแตกต่างไปจากเพลงที่นำประพันธ์เพลงไทยสากลยุคนั้น ได้ประพันธ์ขึ้นเป็นเพลงที่บรรเลงยาก
ร้องยากที่สุด เพราะใช้โน้ตครึ่งเสียงและกุญแจเสียงไม่เจนกับหูคนไทยในยุคนั้น กล่าวได้ว่าเพลงพระราชนิพนธ์ยุคแรกเริ่มขึ้น ทรงได้ล้ำหน้าความสามารถของนักประพันธ์เพลงไทยเป็นอย่างมาก เข้ามาตรฐานเพลงที่นิยมสูงสุดในทวีปยุโรปและอเมริกาจนฝรั่งกล่าวสรรเสริญ
ในพระปรีชาสามารถ (พูนพิศ อมาตยกุล. 2529 : 19)
ในสมัยนี้ ได้มีผู้แต่งเพลงไทยสากลหลายท่าน สำหรับนักแต่งเพลงไทยสากลที่มีผลงานเป็นที่ยอมรับโดยทั่วไปทั้งในและนอกประเทศ คือ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช เพลงพระราชนิพนธ์ของพระองค์ได้แสดงถึงความงดงาม ความละเอียดประณีต มีรสนิยมเป็นแบบเฉพาะพระองค์ ซึ่งเป็นพรสวรรค์อย่างหนึ่งอันหาได้ไม่ง่ายนัก ดังที่
อาจารย์มนตรี ตราโมทย์ ให้สัมภาษณ์ เสถียร ดวงจันทร์ทิพย์ (เสถียร ดวงจันทร์ทิพย์. 2530 : 28) ดังนี้ในด้านดนตรีไทยและนาฎศิลป์นี้ ดูเหมือนว่าพระองค์ท่านจะทรงสนพระทัยพอ ๆ กัน แต่ถ้าทางด้านดนตรีสากลแล้วทรงพระปรีชาสามารถมากทีเดียว ลักษณะนี้ถ้าหากเป็นสามัญชน คนธรรมดาก็เรียกว่า มีพรสวรรค์ เป็นบุคคลประเภทที่เรียกว่า เรียนน้อยแต่รู้มากได้จะมีอยู่เฉพาะรายบุคคลเท่านั้น นับได้ว่าเป็นบุญของศิลปินไทยและประเทศชาติที่องค์พระมหากษัตริย์ทรงสนพระทัยในศิลปะการดนตรีเช่นนี้การดนตรีไทยในปัจจุบัน จะเห็นได้ว่า ได้ขยายวงกว้างเข้าไปอยู่ในสถานศึกษา เห็นได้จากสถาบันการศึกษาทั้งระดับประถมศึกษา มัธยมศึกษาและอุดมศึกษาได้ส่งเสริมให้
นักเรียนและเยาวชนเล่นดนตรีไทยและขับร้องเพลงไทย โดยบรรจุวิชาดนตรีไว้ในหลักสูตรทุกระดับทั้งนี้ ด้วยพระบารมีของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช และสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ได้แผ่ปกคลุมเป็นร่มเกล้าแก่นักดนตรีไทย และเพลงไทยอย่างใหญ่หลวง ด้วยพระองค์ทรงโปรดเพลงไทยและดนตรีไทยเป็นอย่างยิ่ง
ซึ่งพระองค์ได้พระราชนิพนธ์เรื่อง “เหตุใดข้าพเจ้าจึงชอบดนตรีไทย ?” โดยทรงขึ้นต้นว่า “ดนตรีไทยดูเหมือนจะพัวพันกับชีวิตประจำวันของข้าพเจ้าตั้งแต่เกิดมา พอเกิดมาเขาก็ประโคม เวลาสมโภชน์เขาก็ประโคม (สงบศึก ธรรมวิหาร. 2531 : 47 อ้างใน ทองต่อ กล้าวไม้ ณ อยุธยา. 13)
สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงอุปถัมภ์และทรงทะนุบำรุงดนตรีอยู่ตลอดมา ทรงพระอุตสาหะเสด็จพระราชดำเนินไปเป็นประธานการแสดงดนตรีไทยของครูอาวุโส และบรรดาวงดนตรีของเด็กและเยาวชน ตั้งแต่ระดับประถม มัธยมและอุดมศึกษาหลายครั้ง ได้ทรงร่วมการบรรเลงดนตรีด้วย ยังความโสมนัสยินดีแก่ผู้ร่วมและผู้มีโอกาสได้
เฝ้าทูลละอองพระบาทเป็นที่ยิ่ง (สงบศึก ธรรมวิหาร. 2540 : 48 อ้างใน ทองต่อ กล้วยไม้ ณ อยุธยา. 2541 : 14) สรุปได้ว่า การดนตรีในสมัยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช รัชกาลที่ 9 ได้มีความเจริญรุ่งเรืองเป็นอย่างยิ่ง เพราะพระองค์ทรงโปรดการดนตรีทุกประเภท จนเป็นที่ยกย่องสรรเสริญจากชาวโลก ทั้งในและต่างประเทศอย่างท่วมท้น พระองค์ยังทรงพระราชนิพนธ์เพลงไว้อีกมากมาย อีกทั้งสมเด็จพระเพทรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ก็ได้ทรงโปรดปรานดนตรีไทยเป็นอย่างยิ่ง ทรงบรรเลงดนตรีไทยได้ทุกชนิด ทรงใฝ่พระราชหฤทัยอย่างจริงจัง ดังที่ เสรี หวังในธรรม กล่าวว่า “ดนตรีไทยไม่สิ้นแล้ว เพราะพระทูลกระหม่อมแก้วเอาใจใส่”

วันพฤหัสบดีที่ 10 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

ukulele


 

Ukulele เครื่องดนตรี 4 สาย ที่ไม่ใช่กีต้าร์!? ของขวัญที่ได้มาของชาวฮาวายเอี้ยน

"Ukulele" เป็นภาษาฮาวายเอี้ยน ความหมายของคำว่า "ukulele" ถูกแยกเป็นสองคำคือ "uku" ซึ่งแปลว่า "ของขวัญหรือรางวัล"
ส่วนคำว่า "lele" แปลว่า "การได้มา" ดังนั้นเมื่อนำสองคำนี้มารวมกัน จึงแปลความหมายได้ว่า "ของขวัญที่ได้มา"

"Ukulele" อาจจะเป็นเครื่องดนตรีชิ้นใหม่สำหรับใครบางคน แต่สำหรับนักดนตรี หรือผู้คนบนเกาะฮาวาย(Hawaii) Ukulele เป็นเครื่องดนตรีที่เป็นเสมือนศิลปะ และวัฒนธรรมของชาวฮาวายเอี้ยน เครื่องดนตรีชิ้นนี้ถูกเล่นในงานรื่นเริงต่างๆ ในทุกๆ เทศกาล Ukulele กลายเป็นเครื่องดนตรีชิ้นเอกที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างยิ่งบนเกาะฮาวาย ดังนั้น ชาวฮาวายเอี้ยนกับอูกูลีเล จึงแยกจากกันไม่ออก!

Ukulele คืออะไร?
เครื่องดนตรีที่มีขนาดเล็กพกพาสะดวก สวยสะดุดตาเมื่อแรกเห็น และตัวจิ๋วเล็กนิดเดียว ในชื่อ "Ukulele" (ออกเสียงว่า อูกูลีเล)
บางท่านอาจจะสามารถเรียกอีกชื่อว่า อูกี (Uke) ก็คงไม่ผิด เครื่องดนตรีชิ้นนี้เกิดมาก่อนสงครามโลกสะอีก อายุอานามไม่แพ้อะคูสติกกีต้าร์ เพียงแต่ว่าเครื่องดนตรีทั้งสองมีการกำเนิด และมีการพัฒนาที่แตกต่างกัน

กีต้าร์โปร่งโด่งดังและพัฒนามาจากอเมริกา และ Ukulele เป็นเครื่องดนตรีพื้นบ้านมาจากเกาะฮาวาย เกิดมาก่อนยุคสงครามโลก
ต่อมาช่วงยุค 60's เจ้า Ukulele ขึ้นมาโด่งดังและรู้จักกันแพร่หลายมากขึ้น เพราะว่านักดนตรีโฟล์คซอง และแจ๊ส ได้นำมันไปเล่น
ตามสถานที่ต่างๆ ทำให้ผู้คนทั่วไปเริ่มคุ้นหน้าคุ้นตา และรู้จักกับเจ้า Ukulele มากขึ้น
"John Lennon / George Harrison / Elvis Presley"
ผู้คนต่างแดนเริ่มพบเห็น และรู้จักเจ้า Ukulele อย่างแพร่หลายมากขึ้น เช่นวง The Kingston Trio (American Folksong) เป็นวงโฟล์คซอง
ก่อนยุค Peter Paul & Mary, ซึ่งเป็นวงดนตรีโฟล์คซองที่มีชื่อเสียงมากในยุคนั้น ทั้ง David Guard และ Bob Shane เกิดและโตมาจากเกาะฮาวาย เล่น Ukulele มาตั้งแต่เด็ก หรือแม้กระทั้งสมาชิกวง "The Beatles" ยังเคยนำเจ้า Ukulele ไปใช้ ยังรวมทั้ง "Elvis Presley"
ในช่วงยุค 80's Ukulele เริ่มตกกระแส ความนิยม การนำมาใช้เล่น และการกล่าวถึงเริ่มจางลงจนแทบจะหายไป

ต่อมาในช่วงปี 1990 เกิดกระแสขึ้นอีกครั้ง เมื่อเกิดศิลปิน Israel Kamakawiwo'ole(IZ) นักดนตรีจากเกาะฮาวาย ด้วยเอกลักษณ์ตัวอ้วนใหญ่คล้ายกับยักษ์ แต่เลือกที่จะเล่น Ukulele ตัวจิ๋วเป็นเครื่องดนตรีคู่กาย, IZ จึงได้รับความสนใจเป็นอย่างมาก กระแส IZ จึงเกิดมาพร้อมกับ Ukulele เพลงของ IZ ยังถูกไปใช้เป็นเพลงประกอบหนังอยู่เป็นระยะๆ

IZ ได้ร้องและเล่นบทเพลง "Over the Rainbow/What a Wonderful World" ซึ่งทำให้ผู้คนเริ่มหลงเสน่ห์ในเสียงของ ukulele เข้าอย่างจัง
"IZ Israel Kamakawiwo'ole / Jake Shimabukuro"
ปลายยุค 90's หลังจากที่ Ukulele เริ่มแพร่หลายในอเมริกา เจ้า Ukulele ยังไปมีชื่อเสียงในประเทศญี่ปุ่นอีกด้วย เพราะเด็กหนุ่มลูกครึ่งญี่ปุ่นฮาวายฝีมือขั้นเทพนามว่า "Jake Shimabukuro" ได้นำ Ukulele มาเล่นเพลงได้อย่างน่าทึ่ง ด้วยลีลาอันสุดเร้าใจ ดุดัน รุนแรง
ทั้งวิธีการนำเอาเพลงที่เคยได้รับความนิยมในอดีต มา cover ด้วย Ukulele จึงทำให้ผู้ฟังสามารถเข้าถึงเสน่ห์ของ Ukulele ได้ง่ายขึ้น

Jake จึงถือเป็นผู้ที่มีบทบาทมากที่สุดคนหนึ่ง ที่ทำให้วัยหนุ่มสาวยุคใหม่ เริ่มหันมาสนใจที่จะฝึกหัด และหัดเล่น ukulele อย่างจริงๆ จังๆ
นอกจากนั้นแล้ว ศิลปินยุคใหม่เช่น "Jack Johnson" และ "Jason Mraz" ก็ยังเล่น ukulele กับเขาด้วย

ประเภทของ Ukulele มีขนาดใดบ้าง?
Ukulele มีสายเพื่อใช้บรรเลงเพลงแค่เพียง 4 สาย โดยใช้สายไนล่อน รูปทรงจะเล็กกว่าอะคูสติกกีต้าร์มาก ซึ่งจะมีขนาดอยู่ 4 ขนาด คือ

1) soprano (standard size) มีขนาดความยาว 21" นิ้ว
2) concert มีขนาดความยาว 23" นิ้ว
3) tenor มีขนาดความยาว 26" นิ้ว
4) baritone มีขนาดความยาว 30" นิ้ว
Ukulele แต่ละขนาด มีเอกลักษณ์อย่างไร?

Soprano ถือเป็นขนาดมาตรฐานสำหรับชาวฮาวายเอี้ยน แต่สำหรับคนไทยอาจจะไม่ใช่ โดยเฉพาะผู้ที่เล่นอะคูสติกกีต้าร์มาก่อน
ถ้าหากเริ่มต้นหัดจากขนาด Soprano อาจจะท้อสะก่อน เพราะยิ่งขนาดเล็กเท่าไร ก็ยิ่งทำให้การเล่นทำได้ยากมากขึ้นเท่านั้น

Fingerboard ที่เล็ก ทำให้การวางตำแหน่งของมือซ้ายทำได้ยาก และขนาดตัวที่เล็กก็ทำให้การโอบ หรือการพยุงมันขึ้นมาแนบกับอก
ก็ยิ่งทำได้ยาก เพราะยิ่งโอบไว้นานยิ่งเมื่อย รวมถึงระยะห่างของสายทั้งสี่เส้นก็มีระยะห่างน้อยมาก จึงทำให้การเล่น finger ตามได้ยาก

แต่ไม่ใช่ว่าขนาด Soprano นี้จะไม่ดี มันก็เหมือนกับอะคูสติกกีต้าร์นั่นล่ะ ที่แต่ละทรงก็มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว ซึ่งขนาด Soprano
จะให้เสียงที่คมชัด แหลมดี และย่านเสียงสูงยอดเยี่ยมกว่าทรงอื่นๆ มันเหมาะเป็นอย่างยิ่งกับการเล่นแบบตีคอร์ด เป็น Background
ให้กับวง ดังนั้น ukulele ขนาด Soprano จึงเหมาะสำหรับผู้ที่เล่น Ukulele ได้คล่องแล้ว และเน้นสไตล์การเล่นแบบตีคอร์ด

Concert จะมีขนาดที่ใหญ่กว่าขนาด soprano ขนาดตัว และฟิงเกอร์บอร์ดที่มีความกว้างมากขึ้นนั้น ช่วยทำให้การเคลื่อนของมือซ้าย
ทำได้ง่ายขึ้น เอกลักษณ์เสียงของขนาด Concert คือให้เสียงแหลมพอประมาณ และมีเสียงกลางผสม จึงเหมาะกับการใช้เล่น ในสไตล์
strum-chord(ตีคอร์ด) เป็นหลัก แต่สามารถใช้เล่นสไตล์ finger-picking ได้เช่นกัน

Tenor มีขนาดใหญ่กว่า concert ผู้เล่นสามารถเล่นได้ง่าย คือทั้งการโอบหรือพยุงขึ้นแนบกับอกทำได้ง่ายขึ้น การใช้มือซ้ายและมือขวา
เคลื่อนไหวได้ง่าย ขนาดของลำตัว(body) และฟิงเกอร์บอร์ดที่ใหญ่ขึ้นนั้น จึงเหมาะกับผู้ที่มีนิ้ว/มือที่ใหญ่ หรือผู้ที่เพิ่งเริ่มหัดเล่น
เอกลักษณ์เสียงอยู่ที่เสียงกลางดี มีเนื้อเสียงที่ชัดเจน จึงเหมาะกับการเล่นแบบ finger-picking และ solo ได้ดี เสียงที่ออกมาจะมีความ
ใกล้เคียงอะคูสติกกีต้าร์พอสมควร แต่ tenor ให้โทนเสียงแหลมคมและการพุ่งของเสียง จะน้อยกว่า soprano และ concert

Baritone เหมาะกับการเล่นโน๊ตเป็นตัวๆ หรือการเล่นแบบโซโล หรือเล่นแบบ Finger-style ให้ย่านเสียงต่ำดี แต่ย่านเสียงสูงไม่โดดเด่น
จึงตอบสนองเสียงคมๆ แหลมๆ ได้ไม่ดีนัก มีเสียงใกล้เคียงกับอะคูสติกกีต้าร์มากที่สุด
 
"ภาพแสดงส่วนประกอบต่างๆ ของ Ukulele"
วิธีการตั้งสาย Ukulele แบบมาตรฐาน(C tuning):


การตั้งสาย ukulele สำหรับขนาด "soprano", "concert" และ "tenor" มีหลายแบบ ในที่นี้ขอยกตัวอย่างการตั้งแบบมาตรฐาน ให้ตั้งเป็น
G(สาย4)
C(สาย3)
E(สาย2)
A(สาย1)
สรุปง่ายๆ ว่า ถ้าเอาคาโป้(capo) มาคาดตรง fret ที่ 5 ของคออะคูสติกกีต้าร์ ก็เหมือนกับเล่น Ukulele แล้วครับ
คือทุกๆ สายจะเป็นโน๊ตตัวเดียวกันหมด ทั้งขนาด soprano, concert และ tenor (แต่ G ของสาย 4 เป็นเสียงสูง)
สำหรับเครื่องตั้งสายอะคูสติกกีต้าร์สมัยใหม่ จะมีให้เลือกตั้งสายแบบ ukulele ด้วย แต่ถ้าไม่มีก็สามารถตั้งได้ถ้าเราจำเสียงได้
Baritone
วิธีการตั้งสายสำหรับขนาด Baritone จะแตกต่างกับขนาดอื่นๆ คือให้ตั้งเป็น D G B E จะสังเกตุเห็นว่า การตั้งแบบนี้ก็เหมือนกับ
การตั้งสายล่าง(เสียงสูง)ของอะคูสติกกีต้าร์ ดังนั้น Baritone จะตั้งสายโดยถอดแบบมาจากสายล่าง(เสียงสูง)ของกีต้าร์ คือ
4(D)
3(G)
2(B)
1(E)
แนะนำเวปตั้งสาย ukulele On-Line (คลิก)
การเลือกซื้อ Ukulele ให้ถูกใจ?
หากถามถึงวิธีการเลือกขนาด Ukulele นั้น ไม่มีสูตรที่ตายตัว ก็เหมือนกับอะคูสติกกีต้าร์นั่นล่ะ คือจะต้องดูที่ความต้องการของผู้เล่นด้วยว่า
ต้องการเสียงแบบใด และนำไปเล่นในสไตล์ไหน เพราะหากผู้เล่นมีความชำนาญในการเล่น Ukulele แล้ว ไม่ว่าทรงนี้ก็สามารถเล่นได้ทั้งนั้น
เช่น หากต้องการเล่นตีคอร์ด และชอบเสียงคมๆแหลมๆ มากๆ ขอแนะนำขนาด Soprano, แต่ถ้าต้องการเอาไปฝึก Finger-style
และต้องการเสียงแหลมคมชัดผสมเสียงกลาง แนะนำขนาด Concert, หรือหากต้องการนำไปเล่นเน้น Finger-packing ผสมการเล่นแบบ
โซโล และอยากได้เสียงโทนเสียงหนาๆ หน่อยแนะนำ Tenor เป็นต้น
นอกจากนั้นแล้วในกรณีมือใหม่ คงจะต้องคำนึงถึงขนาดของ Ukulele ด้วย เพราะขนาดเป็นตัวกำหนดความยากง่าย การเลือกซื้อ Ukulele
ขนาด Soprano คงจะไม่ง่ายนักกับการฝึก จึงควรจะเลือกซื้อขนาด Concert ขึ้นไป ยิ่งขนาด Tenor ยิ่งดี เพราะมันสามารถฝึกได้ง่ายกว่า
ไม่ว่าจะการวางหรือการควบคุมนิ้วมือทั้งซ้ายและขวา ก็สามารถจะทำได้ง่าย ถ้าเริ่มต้นด้วย ขนาด Soprano อาจจะท้อจนเลิกเล่นสะก่อน

จุดสำคัญอีกอย่างในการเลือกซื้อก็คือ ความปราณีตและความเรียบร้อยของงานประกอบและวัสดุที่ใช้ทำ เช่นในส่วนของ Bridge หรือ
สะพานสายที่ยึดด้านท้าย Ukulele ในระดับราคาถูกๆ มักจะพบปัญหาว่า สะพานสายจะแตก ฉีก หรือไม่ก็ติดกาวไม่แข็งแรงทำให้ขยับได้
อีกส่วนก็คือในตำแหน่งลูกบิด (tuner) บางครั้งพบว่า ลูกบิดเกิดอาการไม่สามารถหมุนสายให้ขึ้นได้ หรือชอบคลายตัวเอง ทำให้เกิดเสียงเพี้ยนบ่อยๆ

ดังนั้น จะเลือกซื้อ ukulele สักตัว ก็จะต้องพิจารณาความปราณีตของงานและคุณภาพของวัสดุที่ใช้ประกอบด้วย ระดับราคาของ ukulele
มีตั้งแต่หลักร้อย(แต่ไม่แนะนำ) หลักพันต้นๆ กลาง และปลาย จนกระทั้งถึงหลักหลายหมื่นบาท โดยเฉพาะ ukulele ที่ผลิตจากอเมริกา
และฮาวาย จะมีราคาสูงมาก

Ukulele เล่นอย่างไร?
การเล่น Ukulele จะแตกต่างกันกับอะคูสติกกีต้าร์ คือวิธีการเล่น Ukulele จะต้องใช้การโอบ คือการยกเจ้า Ukulele ไว้ชิดแนบหน้าอก
ส่วนเทคนิคมือขวาจะใช้วิธีการดีดขึ้นเป็นหลัก และวิธีการสะบัด/สลับนิ้วขึ้นลงเป็นเทคนิคที่สำคัญมาก โดยเฉพาะการขึ้นลงแบบเร็วๆ (faster)
จะต้องมีการฝึกวิธีการสะบัดข้อมือขวา และนิ้วมือขวาทั้งห้านิ้วให้ชำนาญ

รูปคอร์ดก็จะแตกต่างจากรูปคอร์ดกีต้าร์ ดังนั้น เวลาจะฝึกเล่น Ukulele สิ่งแรกคือ คุณจะต้องลืมคอร์ดของกีต้าร์ให้หมด ด้วยเหตุผลนี้
จึงเป็นเรื่องพูดกันตลกๆในกลุ่มคนเล่น ukulele ว่า พวกที่เล่นกีต้าร์ไม่เป็นหรือไม่เคยเล่นกีต้าร์มาก่อน จะฝึกเล่น ukulele ได้เร็วกว่าพวกที่เล่น
กีต้าร์มาก่อน เพราะมันสับสนเรื่องการวางรูปนิ้ว(คอร์ด)ของมือซ้าย! (แนะนำเวปคอร์ด+เพลง สำหรับเล่น ukulele www.ukulelesongs.com)
"ตารางคอร์ด"
Ukulele ทำจากไม้ประเภทใดบ้าง?
ถ้าจะถามว่าประเภทไม้ หรือไม้ชนิดใดที่เป็นต้นฉบับ และนิยมสำหรับ Ukulele? ก็คงจะต้องตอบว่า ต้องเป็นไม้ "Koa" หรือ
"Hawaiian Koa" แต่คงไม่ได้หมายถึงว่าไม้ Koa ให้เสียงที่ดีที่สุด เนื่องจากไม้แต่ละชนิดก็มีลักษณะโดดเด่นทางด้านเสียงที่แตกต่างกัน
ทั้งหมดขึ้นอยู่กับรสนิยมของผู้เล่น ว่าชอบลักษณะเสียงแบบใด เรามาดูคุณสมบัติของไม้แต่ละประเภทกัน...

ไม้ Koa (Hawaiian Koa)
ซึ่งถือกำเนิดมาจาก Hawaii สีไม้น้ำตาลอ่อน ออกผสมสีส้ม และมีลายเข้ม สะท้อนแสงได้อย่างดี ให้เสียงย่านสูงดี เสียงจะเด่นไปทาง
แหลมคมและชัด ว่ากันว่าถ้าใช้ไม้ Koa ประกอบทั้งตัว จะได้เสียงที่ Balance ดีมากๆ ดังนั้นเราจึงเห็นว่า กีต้าร์แบนด์ดังๆ จึงนิยมใช้ไม้ Koa
ประกอบทำอะคูสติกกีต้าร์แบบทั้งตัว (all Koa) และไม้ชนิดนี้มีราคาค่อนข้างสูงเมื่อเทียบกับไม้อย่าง Indian rosewood, หรือ Mahogany
ดังนั้น Ukulele ที่ใช้ไม้ Koa ประกอบทั้งตัว (all Koa) และโดยเฉพาะ Koa ที่ลายไม้สวยๆ จะมีราคาค่อนข้างสูงมาก
ไม้ Mango
เป็นอีกไม้ชนิดหนึ่งที่ได้รับการกล่าวถึงว่า มันสามารถให้เสียงที่ใกล้เคียงกับไม้ Koa มากที่สุด แต่ราคาไม่สูงเนื่องจากหาได้ไม่ยากนัก
ลายไม้เป็นทางและมีความแปลกกว่าลายไม้อื่นๆ สีออกน้ำตาลและดำผสมกัน มีความสวยงาม เช่นยี่ห้อ Oscar Schmidt เป็นต้น
ไม้ Mahogany
เป็นไม้อีกประเภทที่ให้เสียงคล้ายกับ Koa แต่มันให้เสียงแหลมคมที่ดีกว่า ทนกับอากาศที่เปลี่ยนแปลงได้ดีกว่า สีและลายไม้อาจจะ
ไม่สวยเท่ากับ Koa, แต่ถ้าจะเอาแบบลายไม้สวยราคาก็จะสูงตามไปด้วย และค่อนข้างหายาก
ไม้ Spruce และ Cedar สำหรับทำไม้หน้า(top)
ไม้บางอย่างเหมาะเฉพาะที่จะนำมาทำเป็นไม้หน้าเท่านั้น เช่น Spruce, และ Cedar เป็นต้น ไม้ ทั้งชนิดเป็นไม้เนื้ออ่อน ซึ่งช่วยลดความแข็ง
ของเสียงที่สะท้อนมาจากไม้แผ่นหลังและข้างได้ ทำให้เสียงนุ่มนวลขึ้น เหมาะสำหรับผู้ที่ชอบเสียงนุ่มนวลสักนิด
อย่างเช่นยี่ห้อ Oscar Schmidt ก็ใช้ไม้ประเภทนี้

ไม้ที่นิยมกันมากคือ Sitka Spruce และ Cedar, คุณสมบัติของ Spruce สามารถลดความแข็งและแหลมของเสียง ช่วยทำให้เสียงนุ่มนวลขึ้น
ส่วนคุณสมบัติของไม้ cedar แม้จะช่วยลดเสียงแหลมลงบ้างแต่ก็ไม่มากนัก แต่คุณสมบัติจริงๆของมันก็คือ การให้โทนหางเสียงที่คมๆ และดุดัน
 
บางยี่ห้อยังใช้วัสดุไฟเบอร์กลาส(Fiberglass) มาทำส่วนหลังและข้าง(back & side) ของตัว ukulele ด้วย เช่นยี่ห้อ Fluke
หลักการเหมือนกันกับ Ovation Guitar ให้เสียงที่แปลกไปอีกแบบ ข้อดีคือความทนทานต่อสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลง และการดูแลรักษา
ยังทำได้ง่ายกว่า Ukulele ที่ทำจากไม้ทั้งตัว แต่ให้เสียงไม่เป็นธรรมชาติเท่ากับ ukulele ที่ทำจากไม้ทั้งตัว
Ukulele ผลิตจากที่ไหนบ้าง?
โรงงานที่ผลิตและประกอบ ukulele มีอยู่หลายแหล่งด้วยกัน เช่น เวียดนาม อินโด จีน ญี่ปุ่น แคนนาดา อเมริกา และฮาวาย ซึ่งแน่นอนว่า
Ukulele ที่ทำหรือประกอบจากฮาวาย ย่อมมีราคาค่าตัวสูงกว่า ukulele ที่มาจากแหล่งอื่นๆ และองค์ประกอบของวัสดุก็เป็นตัวแปล ที่ทำให้
ราคาของ Ukulele สูงต่ำด้วย เช่นประเภทไม้, เกรดของ Abalone ที่ประดับบนตัว Ukulele และสมัยใหม่เราจะเห็นว่ามีการติดตั้ง Pickup
หรือมีชุด Preamp ให้กับ Ukulele ด้วย แน่นอนว่า ระดับ/คุณภาพของ pickup/preamp ก็มีผลอย่างยิ่งต่อราคา

ศิลปินต้นแบบในยุค 2000?
หลังจากกระแสในยุค 60's ที่มาจากศิลปินโฟล์ค(American Folksong) และจากอีหลายๆศิลปิน เช่น The Beatles, ทั้ง John Lennon และ
George Harrison หรืออย่าง Elvis Presley ต่อมาในยุค 90's กับ IZ ที่ช่วยปลุกกระแสอีกครั้ง

ต่อถึงยุคของ "Jake Shimabukuro" ในยุค 2000 นี้ สำหรับผู้ที่ชื่นชอบดนตรีอะคูสติก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง "Ukulele" คงไม่มีใครไม่รู้จัก Jake Shimabukuro อย่างแน่นอน ซึ่งถือว่าเป็นเด็กหนุ่มที่มีทักษะ มีความสามารถ และเป็นนักเล่น ukulele ที่มีฝีมือยอดเยี่ยม รวมถึงการแสดงบนเวที ที่น่าตื่นตาตื่นใจอีกด้วย เขายังมีโอกาสได้ร่วมเล่นกับ Tommy Emmanuel (ศิลปินแนว finger-style มือระดับโลก) มาแล้ว, Jake ยังได้ออกผลงานอัลบั้ม Ukulele มาแล้ว รวมเกือบ 10 อัลบั้ม แต่หากใครเป็นแฟนเพลง Jake คงรู้ว่า เขาดังมาตั้งแต่ในยุค 90' กลางๆ แล้ว คือตั้งแต่ตอนที่อยู่ฮาวาย นอกจากนั้นแล้ว ศิลปินอย่างยุคใหม่อย่าง "Jack Johnson" และ "Jason Mraz"

ที่มา www.Ukethai.com


Acousticthai Copyright 2006 - 2010 All rights reserved
สงวนสิทธิ์เนื้อหาบนเวบไซด์ กรุณาแจ้งกับทีมงานอะคูสติกไทยก่อนนำไปเผยแพร่
สนใจลงโฆษณาสินค้า และบริการ
โทร. 083-189-6789

วันพุธที่ 22 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

เสียงขลุ่ย และวิธีเป่าขลุ่ย




เสียงขลุ่ย  และวิธีเป่าขลุ่ย
เสียงต้อ เสียงแหบ และเสียงควง
เสียงต้อ  หรือเสียงธรรมดา  คือ  เสียงที่เกิดจากการเป่าขลุ่ยด้วยลมธรรมดา  เป่าได้ 8 เสียง ดังนี้
         
      โน้ต 
นิ้ว
ดํ
ชี้
โป้ง
¡
กลาง
¡
¡
นาง
¡
¡
¡
ชี้
¡
¡
¡
¡
กลาง
¡
¡
¡
¡
¡
นาง
¡
¡
¡
¡
¡
¡
ก้อย
¡
¡
¡
¡
¡
¡
¡

ตาราง แสดงการปิด เปิดนิ้ว ในเสียงต้อ หรือเสียงธรรมดา

          เสียงแหบ หรือเสียงสูง คือ เสียงที่เกิดจาการเป่าขลุ่ยด้วย ลมแรง กว่าลมธรรมดา โดยที่ตำแหน่งของนิ้วต่าง ๆ อยู่เหมือนกับการเป่าเสียงต้อ
          สำหรับการเป่าเสียงแหบนั้น  ส่วนใหญ่จะเป่ากันแค่เสียงซอลสูง หรือเสียงลาสูงเท่านั้น สำหรับเสียงโดสูงนั้น เป่าได้ 2 แบบ คือ ปิดรูทั้งหมดแล้วเป่าด้วยลมแรง และแบบเปิดรูค้ำ ก็จะได้เสียงโดสูงหรือจากเสียงแหบนั้นเอง
           
     
เสียงควง คือ เสียงโน้ตตัวเดียวกันและ อยู่ในระดับเดียวกันแต่นิ้วต่างกัน เลยทำให้สำเนียงต่างกัน ถ้าเป็นโน้ตตัวเดียวกันแต่สูงต่ำเป็นคู่แปด อย่างนี้ก็ไม่ใช่เสียงควงเพราะไม่ได้เป็นเสียงที่อยู่ระดับเดียวกัน เสียงควงนี้จะต้องเล่นเป็นคู่อย่างน้อย 1 คู่ คือ ปิดเปิดนิ้วอย่างธรรมดาครั้งหนึ่ง กับเปิดปิดนิ้วพิเศษ ทำให้เกิดเป็นเสียงคู่ หรือเสียงควงอีกครั้ง หนึ่ง (อุทิศ นาคสวัสดิ์,2525:13-14) การเป่าเสียงควงนั้นมีวิธีการเป่าดังนี้  

          เสียง   ฟา()           บนปิดหมดทุกนิ้ว เปิดแต่นิ้วชี้ล่าง
เสียง   ซอล()         เปิดนิ้วก้อยล่าง 1นิ้วกับเปิดนิ้วนางบน  1 นิ้ว
นอกจากนั้นปิดหมด เป่าลมธรรมดา
เสียง   ลา()            เปิดนิ้วล่าง 2 นิ้วกับเปิดนิ้วกลางบน 1 นิ้ว นอกนั้นปิด
หมด เป่าลมธรรมดา
เสียง   ที ()            ปิดนิ้วชี้ นิ้วกลางกับนิ้วนางบน นอกนั้นเปิดหมดเป่าลม
ธรรมดา
เสียง   โด(ดํ)            ปิดนิ้วชี้ล่าง กับนิ้วนางและนิ้วกลางบนนอกนั้นปิดหมด
เป่าลมธรรมดา

          นอกจากเสียงควงทั้ง 5 คู่เสียงนี้แล้ว ยังมีเสียงธรรมดา ที่ใช้นิ้วธรรมดาเหมือนกัน
ได้สำเนียงผิดกันอีก 2 คู่เสียง เรียกว่า เสียงเลียน มีวีธีการเป่าดังนี้

เสียง   โด  (ดํ)                   ปิดหมดทุกนิ้ว แต่เป่าด้วยลมแหบ
เสียง   เร   (รํ)          เปิดนิ้วก้อยล่าง 1 นิ้ว เป่าด้วยลมแหบ

         
การอ่านโน้ตเพลงไทย
            ในการเรียนดนตรีและการบรรเลงดนตรีไทย ปกติตั้งแต่สมัยโบราณมาไม่มีการใช้โน้ตจะใช้วิธีการจดจำบทเพลงต่างๆ และสื่อสารต่อกันโดยการบรรเลงเครื่องดนตรี หรือการใช้ปากท่องทำนอง หรือที่เรียกว่า การนอยเพลง ซึ่งจะทำให้นักดนตรีจดจำเพลงได้อย่างแม่นย่ำ หากลืมเพลงแล้วจะไม่สามารถทบทวนเพลงได้ง่ายนัก ปัจจุบันมีผู้รู้ทางดนตรีไทยหลายท่านได้คิดสัญลักษณ์แทนเสียง ซึ่งปัญญา  รุ่งเรือง ได้กล่าวถึงหลักเกณฑ์ของโน้ตเพลงไทยไว้ดังนี้
1. ตัวโน้ต ใช้ตัวอักษรโดยยืมเสียงของตัวโน้ตในดนตรีสากลมาใช้ (แต่ระดับเสียงและความห่างของเสียงไม่เท่ากัน) เพื่อความสะดวก และเขียนเป็นอักษรย่อดังนี้
          ด        ใช้แทนเสียง   โด    
                 ใช้แทนเสียง  
เร      
                 ใช้แทนเสียง   มี      
                ใช้แทนเสียง  
ฟา     
                ใช้แทนเสียง   
ซอล  
                 ใช้แทนเสียง   ลา     
                ใช้แทนเสียง   ที    
ในกรณีที่เป็นเสียงสูง ก็จะใส่ จุด ไว้บนตัวโน้ต เช่น   ดํ หมายถึง  โด สูง ,                             
          รํ  หมายถึง  เร สูง , มํ  หมายถึง  มี สูง  เป็นต้น
ในกรณีที่เป็นเสียงต่ำ ก็จะใส่ จุด ไว้ใต้ตัวโน้ต เช่น   ฟฺ หมายถึง  ฟา ต่ำ ,                             
          ซฺ  หมายถึง  ซอล ต่ำ , ลฺ  หมายถึง  ลา  ต่ำ  เป็นต้น
2. บรรทัดสำหรับเขียนโน้ต แบ่งออกเป็นช่องๆ บรรทัดละ 8 ช่อง แต่ละช่องเรียกว่า ห้อง ห้องแต่ละห้องจะบรรจุ ตัวโน้ต 4 ตัวซึ่งโน้ตแต่ละตัวจะมีค่าเท่ากับ 1 จังหวะย่อย ดังตัวอย่าง



3. อัตราจังหวะ ตัวโน้ต ตามปกติโน้ต 1 ตัว เท่ากับ 1 จังหวะย่อย ถ้าจะให้อัตราจังหวะของตัวโน้ตยืดออกไปเป็น 2,3,4 จังหวะ หรือมากกว่านั้น จะใช้ขีด ( - ) ต่อท้ายตัวโน้ตตัวนั้น ขีดละ 1 จังหวะ ซึ่ง 1 ขีด มีค่า เท่ากับ 1 จังหวะย่อย เช่น
          ด -                         มีค่า    จังหวะ
- - -                     มีค่า    จังหวะ
- - -  - - - -            มีค่า    จังหวะ
   แบบฝึกหัดการอ่านโน้ต   
แบบฝึกหัดที่ 1   
-
-
-
-
-
-
-
-
-
-
-
-
-
-
-
-
-
-
-
-
-
-
-
-
ดํ

-
-
-
ดํ
-
-
-
-
-
-
-
-
-
-
-
-
-
-
-
-
-
-
-
-
-
แบบฝึกหัดที่ 2
-
-
-
-
-
-
-
-
ดํ
-
ดํ
-
-
-
-
-
-
-
แบบฝึกหัดที่ 3   
ดํ
ดํ
ดํ
ดํ
แบบฝึกหัดที่ 4
-
-
-
-
-
-
ดํ
-
ดํ
รํ
-
ดํ
รํ
มํ

-
มํ
รํ
ดํ
-
รํ
ดํ
-
ดํ
-
-
-
-
-
แบบฝึกหัดที่ 5
-
-
-
-
-
-
-
-

ที่มา บทความของท่านอาจารย์ศิลปชัย เจริญ มหาวิทยาลัยราชภัฏอุดรธานี