เสียงขลุ่ย และวิธีเป่าขลุ่ย
เสียงต้อ
เสียงแหบ และเสียงควง
เสียงต้อ หรือเสียงธรรมดา คือ
เสียงที่เกิดจากการเป่าขลุ่ยด้วยลมธรรมดา
เป่าได้ 8 เสียง ดังนี้
โน้ต
นิ้ว
|
ด
|
ร
|
ม
|
ฟ
|
ซ
|
ล
|
ท
|
ดํ
|
ชี้
|
�
|
�
|
�
|
�
|
�
|
�
|
�
|
�
|
โป้ง
|
�
|
�
|
�
|
�
|
�
|
�
|
�
|
¡
|
กลาง
|
�
|
�
|
�
|
�
|
�
|
�
|
¡
|
¡
|
นาง
|
�
|
�
|
�
|
�
|
�
|
¡
|
¡
|
¡
|
ชี้
|
�
|
�
|
�
|
�
|
¡
|
¡
|
¡
|
¡
|
กลาง
|
�
|
�
|
�
|
¡
|
¡
|
¡
|
¡
|
¡
|
นาง
|
�
|
�
|
¡
|
¡
|
¡
|
¡
|
¡
|
¡
|
ก้อย
|
�
|
¡
|
¡
|
¡
|
¡
|
¡
|
¡
|
¡
|
ตาราง
แสดงการปิด เปิดนิ้ว ในเสียงต้อ หรือเสียงธรรมดา
เสียงแหบ หรือเสียงสูง คือ
เสียงที่เกิดจาการเป่าขลุ่ยด้วย ลมแรง กว่าลมธรรมดา โดยที่ตำแหน่งของนิ้วต่าง ๆ
อยู่เหมือนกับการเป่าเสียงต้อ
สำหรับการเป่าเสียงแหบนั้น
ส่วนใหญ่จะเป่ากันแค่เสียงซอลสูง หรือเสียงลาสูงเท่านั้น สำหรับเสียงโดสูงนั้น เป่าได้ 2 แบบ คือ ปิดรูทั้งหมดแล้วเป่าด้วยลมแรง
และแบบเปิดรูค้ำ ก็จะได้เสียงโดสูงหรือจากเสียงแหบนั้นเอง
เสียงควง คือ เสียงโน้ตตัวเดียวกันและ
อยู่ในระดับเดียวกันแต่นิ้วต่างกัน เลยทำให้สำเนียงต่างกัน
ถ้าเป็นโน้ตตัวเดียวกันแต่สูงต่ำเป็นคู่แปด อย่างนี้ก็ไม่ใช่เสียงควงเพราะไม่ได้เป็นเสียงที่อยู่ระดับเดียวกัน
เสียงควงนี้จะต้องเล่นเป็นคู่อย่างน้อย 1
คู่ คือ ปิดเปิดนิ้วอย่างธรรมดาครั้งหนึ่ง กับเปิดปิดนิ้วพิเศษ
ทำให้เกิดเป็นเสียงคู่ หรือเสียงควงอีกครั้ง หนึ่ง (อุทิศ นาคสวัสดิ์,2525:13-14) การเป่าเสียงควงนั้นมีวิธีการเป่าดังนี้
เสียง
ฟา(ฟ) บนปิดหมดทุกนิ้ว
เปิดแต่นิ้วชี้ล่าง
เสียง ซอล(ซ) เปิดนิ้วก้อยล่าง
1นิ้วกับเปิดนิ้วนางบน 1 นิ้ว
นอกจากนั้นปิดหมด เป่าลมธรรมดา
เสียง ลา(ล) เปิดนิ้วล่าง
2 นิ้วกับเปิดนิ้วกลางบน 1 นิ้ว
นอกนั้นปิด
หมด เป่าลมธรรมดา
เสียง ที (ท) ปิดนิ้วชี้
นิ้วกลางกับนิ้วนางบน นอกนั้นเปิดหมดเป่าลม
ธรรมดา
เสียง โด(ดํ) ปิดนิ้วชี้ล่าง
กับนิ้วนางและนิ้วกลางบนนอกนั้นปิดหมด
เป่าลมธรรมดา
นอกจากเสียงควงทั้ง 5 คู่เสียงนี้แล้ว
ยังมีเสียงธรรมดา ที่ใช้นิ้วธรรมดาเหมือนกัน
ได้สำเนียงผิดกันอีก 2 คู่เสียง เรียกว่า “เสียงเลียน”
มีวีธีการเป่าดังนี้
เสียง โด (ดํ) ปิดหมดทุกนิ้ว แต่เป่าด้วยลมแหบ
เสียง เร
(รํ) เปิดนิ้วก้อยล่าง
1 นิ้ว เป่าด้วยลมแหบ
การอ่านโน้ตเพลงไทย
ในการเรียนดนตรีและการบรรเลงดนตรีไทย ปกติตั้งแต่สมัยโบราณมาไม่มีการใช้โน้ตจะใช้วิธีการจดจำบทเพลงต่างๆ
และสื่อสารต่อกันโดยการบรรเลงเครื่องดนตรี หรือการใช้ปากท่องทำนอง หรือที่เรียกว่า
การนอยเพลง
ซึ่งจะทำให้นักดนตรีจดจำเพลงได้อย่างแม่นย่ำ
หากลืมเพลงแล้วจะไม่สามารถทบทวนเพลงได้ง่ายนัก ปัจจุบันมีผู้รู้ทางดนตรีไทยหลายท่านได้คิดสัญลักษณ์แทนเสียง
ซึ่งปัญญา รุ่งเรือง
ได้กล่าวถึงหลักเกณฑ์ของโน้ตเพลงไทยไว้ดังนี้
1.
ตัวโน้ต ใช้ตัวอักษรโดยยืมเสียงของตัวโน้ตในดนตรีสากลมาใช้
(แต่ระดับเสียงและความห่างของเสียงไม่เท่ากัน) เพื่อความสะดวก
และเขียนเป็นอักษรย่อดังนี้
ด ใช้แทนเสียง โด
ร ใช้แทนเสียง เร
ม ใช้แทนเสียง มี
ฟ ใช้แทนเสียง ฟา
ซ ใช้แทนเสียง ซอล
ล ใช้แทนเสียง ลา
ท ใช้แทนเสียง ที
ร ใช้แทนเสียง เร
ม ใช้แทนเสียง มี
ฟ ใช้แทนเสียง ฟา
ซ ใช้แทนเสียง ซอล
ล ใช้แทนเสียง ลา
ท ใช้แทนเสียง ที
ในกรณีที่เป็นเสียงสูง ก็จะใส่ จุด
ไว้บนตัวโน้ต เช่น ดํ หมายถึง โด สูง ,
รํ หมายถึง เร สูง , มํ หมายถึง มี สูง
เป็นต้น
ในกรณีที่เป็นเสียงต่ำ ก็จะใส่ จุด
ไว้ใต้ตัวโน้ต เช่น ฟฺ หมายถึง ฟา ต่ำ ,
ซฺ หมายถึง ซอล ต่ำ , ลฺ หมายถึง ลา
ต่ำ เป็นต้น
2. บรรทัดสำหรับเขียนโน้ต
แบ่งออกเป็นช่องๆ บรรทัดละ 8 ช่อง แต่ละช่องเรียกว่า ห้อง
ห้องแต่ละห้องจะบรรจุ ตัวโน้ต 4
ตัวซึ่งโน้ตแต่ละตัวจะมีค่าเท่ากับ 1 จังหวะย่อย ดังตัวอย่าง
ซ
|
ม
|
ซ
|
ซ
|
ซ
|
ล
|
ซ
|
ซ
|
ด
|
ล
|
ด
|
ด
|
ด
|
ร
|
ด
|
ด
|
ซ
|
ม
|
ซ
|
ร
|
ม
|
ร
|
ด
|
ล
|
ซ
|
ล
|
ด
|
ร
|
ด
|
ล
|
ด
|
ซ
|
3. อัตราจังหวะ ตัวโน้ต
ตามปกติโน้ต 1 ตัว เท่ากับ 1
จังหวะย่อย ถ้าจะให้อัตราจังหวะของตัวโน้ตยืดออกไปเป็น 2,3,4 จังหวะ หรือมากกว่านั้น จะใช้ขีด ( - )
ต่อท้ายตัวโน้ตตัวนั้น ขีดละ 1 จังหวะ ซึ่ง 1 ขีด มีค่า เท่ากับ 1 จังหวะย่อย เช่น
ด - มีค่า
2 จังหวะ
ด - - - มีค่า 4 จังหวะ
ด
- - - - - - - มีค่า 8
จังหวะ
แบบฝึกหัดการอ่านโน้ต
แบบฝึกหัดที่ 1
-
|
-
|
-
|
ด
|
-
|
-
|
-
|
ร
|
-
|
-
|
-
|
ม
|
-
|
-
|
-
|
ฟ
|
-
|
-
|
-
|
ซ
|
-
|
-
|
-
|
ล
|
-
|
-
|
-
|
ท
|
-
|
-
|
-
|
ดํ
|
-
|
-
|
-
|
ดํ
|
-
|
-
|
-
|
ท
|
-
|
-
|
-
|
ล
|
-
|
-
|
-
|
ซ
|
-
|
-
|
-
|
ฟ
|
-
|
-
|
-
|
ม
|
-
|
-
|
-
|
ร
|
-
|
-
|
-
|
ด
|
แบบฝึกหัดที่ 2
-
|
ด
|
-
|
ร
|
-
|
ม
|
-
|
ฟ
|
-
|
ซ
|
-
|
ล
|
-
|
ท
|
-
|
ดํ
|
-
|
ดํ
|
-
|
ท
|
-
|
ล
|
-
|
ซ
|
-
|
ฟ
|
-
|
ม
|
-
|
ร
|
-
|
ด
|
แบบฝึกหัดที่ 3
ด
|
ร
|
ม
|
ฟ
|
ซ
|
ล
|
ท
|
ดํ
|
ดํ
|
ท
|
ล
|
ซ
|
ฟ
|
ม
|
ร
|
ด
|
ด
|
ร
|
ม
|
ฟ
|
ซ
|
ล
|
ท
|
ดํ
|
ดํ
|
ท
|
ล
|
ซ
|
ฟ
|
ม
|
ร
|
ด
|
แบบฝึกหัดที่ 4
-
|
ด
|
ร
|
ม
|
-
|
ร
|
ม
|
ฟ
|
-
|
ม
|
ฟ
|
ซ
|
-
|
ฟ
|
ซ
|
ล
|
-
|
ซ
|
ล
|
ท
|
-
|
ล
|
ท
|
ดํ
|
-
|
ท
|
ดํ
|
รํ
|
-
|
ดํ
|
รํ
|
มํ
|
-
|
มํ
|
รํ
|
ดํ
|
-
|
รํ
|
ดํ
|
ท
|
-
|
ดํ
|
ท
|
ล
|
-
|
ท
|
ล
|
ซ
|
-
|
ล
|
ซ
|
ฟ
|
-
|
ซ
|
ฟ
|
ม
|
-
|
ฟ
|
ม
|
ร
|
-
|
ม
|
ร
|
ด
|
แบบฝึกหัดที่ 5
ด
|
ด
|
ด
|
ด
|
-
|
ร
|
-
|
ร
|
ม
|
ม
|
ม
|
ม
|
-
|
ซ
|
-
|
ซ
|
ล
|
ล
|
ล
|
ล
|
-
|
ซ
|
-
|
ซ
|
ม
|
ม
|
ม
|
ม
|
-
|
ร
|
-
|
ร
|
ที่มา บทความของท่านอาจารย์ศิลปชัย เจริญ มหาวิทยาลัยราชภัฏอุดรธานี